นักวิชาการเผย
เคยเกิดในไทย แต่ไม่บ่อยนัก และไม่เป็นอันตราย
ชาว บ้านอ.บึงโขงหลง จ.หนองคาย
ต่างฮือฮากับปรากฏการณ์ประหลาด ที่เชื่อว่าน่าจะเป็น พญานาคออกมาเล่นน้ำ
โดยมีชาวบ้านรายหนึ่งสามารถถ่ายคลิปวีดิโอเก็บไว้ โดยในภาพมีพายุหมุนคล้ายงวงช้าง ไม่มีไม่มีลมพัด
เกิดขึ้นประมาณ 10 นาที ซึ่งเหตุที่ชาวบ้านเชื่อว่าพญานาคออกมาเล่นน้ำ เพราะก่อนหน้านี้
คนในหมู่บ้านช่วยกันจัดระเบียบของ บึงใหม่ ให้มีความสะอาดเรียบร้อย
เมื่อ ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัย และฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลก แห่ง
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวถึงปรากฏการณ์พายุงวงช้างว่า
ปรากฏการณ์ดังกล่าวส่วนใหญ่มักจะเกิดในน้ำ โดยเฉพาะในทะเลจะเห็นบ่อยกว่าในน้ำจืด
สำหรับประเทศไทยเคยเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น แต่ไม่บ่อยนัก และไม่เป็นอันตราย เพราะมีขนาด 1%
ของพายุทอร์นาโด
ทั้งนี้ลักษณะการเกิด
“พายุงวงช้าง” หรือ “นาคเล่นน้ำ” มี 2 แบบ ได้แก่
1. เป็นพายุทอร์นาโด
ที่เกิดขึ้นเหนือผืนน้ำ (ซึ่งอาจจะเป็นทะเล ทะเลสาบ หรือแอ่งน้ำใดๆ)
โดยพายุทอร์นาโดจะเกิดขึ้นระหว่างที่ฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก เรียกว่า พายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์
(Supercell thunderstorm) และมีระบบอากาศหมุนวนที่เรียกว่า เมโซไซโคลน (Mesocyclone)
จึงเรียกพายุนาคเล่นน้ำแบบนี้ว่า นาคเล่นน้ำที่เกิดจากทอร์นาโด (Tornado waterspout)
2.
เกิดจากการที่มวลอากาศเย็น เคลื่อนผ่านเหนือผิวน้ำที่อุ่นกว่า โดยบริเวณใกล้ๆ ผิวน้ำมีความชื้นสูง
และไม่ค่อยมีลมพัด (หรือถ้ามีก็พัดเบาๆ)
ผลก็คืออากาศที่อยู่ติดกับผืนน้ำซึ่งอุ่นในบางบริเวณจะยกตัวขึ้นอย่างรวด เร็วและรุนแรง
ทำให้อากาศโดยรอบไหลเข้ามาแทนที่ จากนั้นจึงพุ่งเป็นเกลียวขึ้นไป แบบนี้เรียกว่า “นาคเล่นน้ำ” (True
waterspout) ซึ่งมักเกิดในช่วงอากาศดีพอสมควร (fair-weather waterspout) อาจเกิดได้บ่อย
และประเภทเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
เนื่องจากในช่วงที่เกิดมักจะมีพายุฝนฟ้าคะนองร่วมอยู่ด้วย
แต่ความแตก ต่างของ 2 แบบนี้ก็คือ
นาคเล่นน้ำที่เกิดจากทอร์นาโดจะเริ่มจากอากาศหมุนวน (ในบริเวณเมฆฝนฟ้าคะนอง)
แล้วหย่อนลำงวงลงมาแตะพื้น คืออากาศหมุนจากบนลงล่าง
ส่วนนาคเล่นน้ำของแท้จะเริ่มจากอากาศหมุนวนบริเวณผิวพื้นน้ำ แล้วพุ่งขึ้นไป คืออากาศหมุนจากล่างขึ้นบน
ในช่วงที่อากาศพุ่งขึ้นเป็นเกลียววนนี้ หากน้ำในอากาศยังอยู่ในรูปของไอน้ำ เราจะยังมองไม่เห็นอะไร
แต่หากอากาศขยายตัวและเย็นตัวลงถึงจุดหนึ่ง ไอน้ำก็จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำจำนวนมาก ทำให้เราเห็นท่อหรือ
“งวงช้าง” เชื่อมผืนน้ำและเมฆ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “พายุงวงช้าง”
โดยส่วนใหญ่ มีความยาวประมาณ
10 – 100 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมีตั้งแต่ 1 เมตร ไปจนถึงหลาย 10 เมตร
โดยในพายุอาจมีท่อหมุนวนเพียงท่อเดียวหรือหลายท่อก็ได้ แต่ละท่อจะหมุนด้วยอัตราเร็วในช่วง 20-80
เมตรต่อวินาที กระแสลมในตัวพายุเร็วถึง 100 – 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอาจสูงถึง 225
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสามารถคว่ำเรือเล็กๆ ได้สบาย ดังนั้น
ชาวเรือควรสังเกตทิศทางการเคลื่อนที่ให้ดี แล้วหนีไปในทิศตรงกันข้าม นอกจากนี้
พายุชนิดนี้ยังสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วตั้งแต่ 3 – 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แต่ส่วนใหญ่จะเคลื่อนที่ค่อนข้างช้าประมาณ 18 – 28 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งนี้
พายุนี้มีอายุไม่ยืนยาวนัก คืออยู่ในช่วง 2 – 20 นาที
จากนั้นก็จะสลายตัวไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น